"น้ำท่วม คราวนี้ ก็ดีอย่าง
จะได้ รื้อโครงสร้าง มาทำใหม่
ทั้งการเมือง บริหารผลาญ ชาติไทย
กินแบบเก่า จะบรรลัย ไปทั้งเมือง"
น้ำท่วมครั้งนี้ถ้าจะดีมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็น่าจะมี อย่างเดียว นั่นก็คือ คนไทยจะได้รู้กันเสียทีว่านักการเมืองในระบบปัจจุบัน ตลอดจนกลไกของระบบราชการที่ตกเป็นทาสนักการเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ควรเก็บเอาไว้หรือไม่ หรือควรกำจัดไป เสียให้พ้น อย่าให้โผล่มาบำรุงทุกข์ บำบัดสุขของประชาชนอีก ต่อไปเลย
ไม่ว่าภัยมนุษย์ ภัยธรรมชาติ รวมทั้งมหาอุทกภัยน้ำท่วมคราวนี้ นักการเมืองมีส่วนทั้งทางตรงทางอ้อมทำให้เกิดขึ้น แทนที่จะช่วยดีๆ กลับทำให้ช้า เลวลง และทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ได้แก่ การแย่งกันเก่ง แย่งกันกิน และแย่งกันโกง ของนักการเมือง แม้แต่เงินช่วยน้ำท่วม ไม่ว่าจะจากงบประมาณ จากการบริจาคของประชาชนหรือจากต่างประเทศก็ไม่เว้น
น้ำท่วมครั้งนี้ ทั้งโลกสมเพชหัวเราะเยาะไทย แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามก็ยังอดแขวะการตัดสินใจและภาวะผู้นำไทยไม่ได้ หลายประเทศบอกว่าไทยสับสน พูดไม่รู้เรื่อง ทำให้ช่วยเหลือลำบากไม่ถูกจุด เขมรซึ่งเผชิญภัยพิบัติน้ำท่วมเทียบอัตราส่วนได้ไม่แพ้ไทย กลับต่อสู้น้ำท่วมได้ดีกว่า และได้รับความร่วมมือร่วมใจที่ดีกว่าทั้งในและนอกบ้าน
ถ้าคนไทยยังไม่เชื่อและหวังพึ่งนักการเมืองปัจจุบัน ไม่ว่าจะสังกัดพรรคการเมืองใด ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะชื่อเหนือหรือใต้ วิกฤติน้ำท่วมในปีหน้า จะเสียหายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เพราะจะทำอย่างเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ใหญ่โตขึ้น บัดนี้เห็นแววการ เตรียมตัวแย่งกันกิน แย่งกันโกงล่วงหน้าแล้ว จะทำให้เกิด งบประมาณสำหรับอภิมหาเมกะโปรเจกท์ โครงการป้องกันน้ำท่วม ใหญ่น้อยลดหลั่นกันไปทั้งส่วนกลาง ต่างจังหวัดและท้องถิ่น ปั่นงบฯปั้นเขื่อนยักษ์ คันดิน คันกั้นน้ำยักษ์ อุโมงค์ยักษ์ ที่ผิดขนาด ผิดที่ ผิดหลักวิชา ผิดธรรมชาติของวิธีต่อสู้กับ จะแข่งขันกันให้ฉิบหายเร็วยิ่งขึ้น
ผู้เขียนคัดค้านนักรัฐศาสตร์ไทยทุกคน ที่เห็นว่าไทยมีระบอบประชาธิปไตยมาแล้วตั้งแต่ปี 2475 ผู้เขียนยืนยันว่า เมืองไทยยังไม่เคยเป็นประชาธิปไตยและเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เป็น หากเมืองไทยเป็นประชาธิปไตย รัฐบาลจะต้องรับฟังและได้ประโยชน์จากคำแนะนำของพระมหากษัตริย์ด้วยการนำไปปฏิบัติ
ก่อนจะเขียนบทความนี้ ผู้เขียนได้เปิดยูทูบฟังพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ เมื่อปี 2538 เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง และขณะที่เขียนนี้ก็กลับมาเปิดฟังใหม่ อยากจะให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้ฟังบ้าง ด้วยการเปิด http://www.youtube.com/watch?v=wnBFkXUeblo
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า (1) ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ไม่เคยมีรัฐบาลไหนฟังหรือปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงขอร้องหรือแนะนำให้กระทำเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอร์รัปชั่น เรื่องเศรษฐกิจ พอเพียง หรือเรื่องน้ำท่วมก็ตาม (2)หากมีการปฏิบัติตามที่ได้ทรงแนะนำ ปัญหาน้ำท่วมปีนี้จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดก็แก้ไขและบรรเทาความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว ไม่สับสนวุ่นวายหายนะอยู่อย่างทุกวันนี้ (3)ผู้เขียนเข้าใจดีว่า นักการเมืองไทยไม่ว่า พรรคไหน ถือคติสมบัติ ผลัดกันชม หรือเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถ ปฏิบัติตามพระเจ้าอยู่หัวได้ เพราะไม่รู้จะอดกิน อดโกงได้อย่างไร
เมื่อกลียุค อันได้แก่ ภัยธรรมชาติและการเมืองอัปรีย์มาบรรจบกัน หายนะอันยิ่งใหญ่ของชาติจึงเกิดขึ้น ครั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเสียหายยิ่งกว่าพม่าเผาเมืองครั้งกรุงแตกเสียอีก
แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคนไทย รวมทั้งทหาร 4 หมื่นคน ที่ลงไปลุยน้ำ อดข้าวข้ามวันข้ามคืนช่วยชาวบ้านอยู่ จะมองเห็นสัจธรรม เรื่องนี้หรือไม่ หรือว่าจะเข้าใจแค่การช่วยเหลือคนไทยในแง่มนุษยธรรม เสร็จแล้วก็ปล่อยให้การเมืองทำร้ายประชาชนและประเทศ รวมทั้งทหารเองต่อไปแบบเดิม
คนไทยขี้เกียจและไม่ชอบคิดด้วยตนเองนี่เอง จึงต้องตกเป็น เหยื่อหรือไม่ก็ทาสของการเมืองและทุนสามานย์อยู่ด้วยกันโดยตลอด เพราะพากันเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่รู้จักตรวจสอบหรือซักถาม
ผู้เขียนขอย้ำข่าวลือที่เหลวไหลที่สุด 2 เรื่อง 2 อย่างคนละขั้ว และอยากจะบอกว่าใครที่หลงเชื่อทั้ง 2 เรื่องนี้ล้วนแต่เป็นคนไม่รู้จักคิดหรือติดยึดอวิชชามิจฉาทิฐิทั้งสิ้น
เรื่องที่ 1 คือ ใส่ร้ายเบื้องสูงว่าสั่งให้กักและเปิดน้ำ เขื่อนภูมิพลเพื่อให้น้ำท่วม ท่านที่ได้เปิดดูยูทูบที่ผู้เขียนให้ไว้ข้างบนนี้ จะซาบซึ้งเองว่าในหลวงทรงแนะนำเรื่องแล้วเรื่องเล่า รัฐบาลใด สนองพระบรมราชโองการในหลวงหรือไม่อย่างใด
เรื่องที่ 2 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งรัฐบาลปล่อยให้น้ำท่วมเพราะต้องการให้บ้านเมืองเสียหายมากที่สุด จะได้เป็นโอกาสหาเงิน หาทองและกลับมาครองอำนาจอีกได้ง่ายขึ้น
ข้อแตกต่างระหว่างเรื่องทั้ง 2 มีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ เรื่องที่ 1 นั้นมีกลไก เครื่องมือและการจัดตั้งในการกระพือข่าว ในขณะที่เรื่องที่ 2 ไม่มี
ขอย้อนไปถึงบทกลอนตอนต้นบทความ ผู้เขียนมิได้คำนึงถึงวรรณศิลป์เขียนขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ต้องการตอกย้ำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า วิกฤติของเมืองไทย อันเกิดจากความล้มเหลวในการส่งเสริมเสรีภาพ ความเป็นธรรมและสาธารณประโยชน์ของบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง จนไม่มีรัฐบาลใดบำบัดทุกข์-บำรุงสุขหรือแก้ภัยพิบัติ ให้แก่ประชาชนได้นี้ เป็นปัญหาด้านโครงสร้าง มิใช่เรื่องของ ตัวบุคคลหรือคำทำนายใดๆ
ขณะนี้หรือนานมาแล้ว โครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างทางการบริหารของประเทศเป็นโครงสร้างที่ใช้ไม่ได้ มีโทษมากกว่ามีประโยชน์ หากขืนเก็บรักษาไว้เพราะหลงผิดหรือไม่เข้าใจหรือถูกครอบงำ จะทำให้เกิดวิกฤติและโทษานุโทษ ยิ่งขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ
คนไทยไม่เข้าใจเรื่องโครงสร้างหรือระบบมักจะปากดีว่า หากคนดีเสียอย่าง ระบบจะมีปัญหาอะไร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดี แค่ยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ก็หลายคน เช่น สัญญา, ธานินทร์, เสนีย์, เปรม, อานันท์ เป็นต้น ทำไมจึงไม่ทิ้งมรดกแห่งความดีไว้ ปล่อยให้การเมืองอันชั่วร้ายหิวกระหายและเลวทรามเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเมืองไทยเป็นระบบที่มีโครงสร้างเลว ถึงคนจะดีอย่างไรก็ไม่มีความหมาย
คำว่า "โครงสร้าง" เป็นศัพท์วิชาการเชิงวิเคราะห์ยืมมาจากตะวันตก แปลตรงตัวในภาษาไทยจะทำให้มองเห็นกายภาพ อันเป็นภาพลวง
"โครงสร้าง" คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสามารถคาดหมายหรือทำนายทายทักได้ กลายเป็นเรื่องปกติ เห็นกันอยู่ทุกวัน หรือจะเรียกโครงสร้างว่าเป็นระบบพฤติกรรมก็ได้
ความคิดเป็นต้นแบบของการกระทำ การกระทำหรือพฤติกรรมใดๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เพราะมีความคิดความเชื่อ อุดมการณ์หรือค่านิยม ตลอดจนความกลัวหรือความติดใจในระบบหรือกระบวนการให้คุณให้โทษต่อการกระทำหรือพฤติกรรมนั้นๆ ตัวอย่างเช่น นักการเมืองคอร์รัปชั่น ยิ่งโกงเก่งยิ่งได้ดี มีผู้มาฝากเนื้อฝากตัว บริวารมากขึ้น มีหน้ามีตามากขึ้น อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งสามารถเอาข้าราชการทั้งจังหวัดมาเป็นลูกน้องได้ มีห้องทำงานประจำบนศาลากลางจังหวัด (ใช้งบประมาณหลวง) ไม่มีหมาตัวไหนเห่าสักตัว มีแต่กระดิกหางให้ เป็นต้น
ก็ความคิด ความเชื่อและค่านิยม นี่แหละที่เปรียบเสมือน ขื่อ คาน และตง ของโครงสร้างที่ทำให้โครงสร้างหรือระบบพฤติกรรมผูกโยงกันอยู่ได้ และพฤติกรรมดังกล่าวก็ต้องมีปัจจัยควบอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ องค์ประกอบ ซึ่งจะเป็นองค์บุคคลก็ได้ องค์การหรือสถาบันก็ได้ เช่น ตัวนักการเมือง ตัวพรรคการเมือง สภา หรือองค์การปกครอง ฯลฯ เป็นผู้ระบายหรือสร้างพฤติกรรม ต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างปัจจุบันนี้ถูกครอบงำด้วนอวิชชา มิจฉาทิฐิ และตัณหาของนักการเมืองที่ต้องการผูกขาดอำนาจและความ มั่งคั่ง และเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ของชาติ ความเป็นประชาธิปไตยนั้นไม่มี หรือเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากการโฆษณาชวนเชื่อที่อ้างการเลือกตั้งเป็นหลัก แต่อย่างเดียว
เรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯนี้หากทำตามพระเจ้าอยู่หัวเสียตั้งแต่ปี 2538 ก็จะไม่กลายเป็นวิกฤติอย่างนี้ นัยสำคัญที่ทรงอธิบายเป็นปฐมเหตุก็ได้แก่ การกระทำผิดกฎหมายเพราะความโลภนั่นเอง เริ่มด้วยการเข้ายึดครองที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 และ 6 ทรงเวนคืนไว้ที่ทุ่งรังสิตเป็นจำนวนกว่า 5 หมื่นไร่ เพื่อขุดคูคลองระบายน้ำ ที่เหลืออาจใช้เป็น floodway หรือทางน้ำท่วม เพื่อเร่งน้ำออกให้เร็วที่สุดได้ บัดนี้ที่ดินดังกล่าวเหลือเป็นของหลวงอยู่เพียง 3 พันไร่
ระบบหรือโครงสร้างการเมืองการบริหารแบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง และโครงสร้างระบบพรรคการเมือง แบบทุนนิยมเผด็จการ รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า เป็นต้นตอของการตัดไม้ทำลายป่า ทำลายต้นน้ำลำธาร ทำลาย หน้าดิน ขุดบ่อบาดาล สร้างบ้านจัดสรรและนิคมอุตสาหกรรม โดยไม่จัดสรรร่องน้ำและเครื่องเร่งน้ำไว้ตามกฎหมายและหลักวิชา สิ่งที่พูดมานี้หากจะให้นักการเมืองและพรรคการเมืองปัจจุบัน ทำก็จะต้องรอถึงชาติหน้าบ่ายๆ เพราะพวกเขาล้วนแต่โกงกินด้วยกัน และร่วมมือกันทำลายกฎหมายหรือกินสินบนจากผู้ทำลาย กฎหมายทั้งสิ้น
หากอยากแก้ปัญหาน้ำท่วมและความชั่วท่วมประเทศ มีทางเดียวเท่านั้น แต่ขั้นแรกต้องให้รับรู้กันทั่วเสียก่อนว่าภัยธรรมชาติและโครงสร้างอุบาทว์ทางการเมืองปัจจุบันนี้ เป็นฝาแฝดสยาม หากไม่ต้องการตัวแรก จะต้องกำจัดตัวที่สอง เอาไว้ไม่ได้ หาไม่แล้ว จะได้ทั้งสองอย่างตลอดกาล
หลวงปู่มั่น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น